วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

วิธีการปลูกดอกบานชื่น


การปลูก
ระยะปลูก ใช้ระยะปลูก 40 x 40 เซนติเมตร


การเตรียมดิน
ไถดินลึก 50 เซนติเมตร เพื่อการระบายน้ำที่ดี ปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ของดินเท่ากับ 6.2-6.8 ยกแปลงกว้าง 1.2 เมตร สูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร ทางเดิน 80 เซนติเมตร ผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเก่า อัตรา 3 ตันต่อไร่ คลุกเคล้าให้เข้ากันที่ระดับ 20 เซนติเมตร หากดินเหนียวมากอาจใช้แกลบดินเป็นส่วนใหญ่ ผสมเพื่อให้ดินโปร่งขึ้น

การเตรียมกล้า
บานชื่นสามารถขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เนื่องจากบานชื่นเป็นไม้ที่ปลูกเลี้ยงง่าย จึงนิยมขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดทำให้ ได้ต้น
จำนวนมาก

การเพาะเมล็ด
บานชื่นมีเมล็ดขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับไม้ดอกอื่นๆ ดังนั้นการปลูกบานชื่นจึงไม่จำเป็นต้องทำการเพาะเมล็ดในกระบะ การเตรียมแปลงปลูกควรเตรียมหลุมตื้นๆ หรือทำร่องตื้นๆ ตามความยาวของแปลง วางเมล็ดหลุมละ 2-3 เมล็ด รดน้ำ กลบปากหลุมด้วยฟางข้าว หรือขุยมะพร้าว และรดน้ำตามอีกครั้งเพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นในหลุม เมื่อเมล็ดงอกแล้ว (ประมาณ 3-5 วัน) ควรทำการถอนหรือแยกให้เหลือ 1 ต้นต่อ 1 หลุม

การดูแลรักษา
การให้น้ำ
รดน้ำทุกวัน ควรรดในตอนเช้าหรือเย็น หากรดน้ำในเวลาเย็นควรจะให้น้ำที่ค้างอยู่บนใบแห้งก่อนพระอาทิตย์ตกดิน และเมื่อมีดอกบานอย่ารดน้ำให้ถูกดอกเพราะจะทำให้ดอกช้ำหรือเน่าได้ 


การให้ปุ๋ย
ก่อนปลูกควรคลุกเคล้าปุ๋ยรองพื้นในดิน โดยให้ปุ๋ยทริปเปิลซุปเปอร์ฟอสเฟต (0-46-0) อัตรา 1 ช้อนชา/หลุม (1 ช้อนชา = 5 กรัม) และสูตร 15-15-15 อัตรา 1 ช้อนชาต่อหลุม ในช่วงแรกหลังปลูกให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 1 ช้อนชาต่อต้นสัปดาห์ ละ 1 ครั้งระยะให้ดอกให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ผสมปุ๋ยสูตร 0-0-60 สัดส่วน 3:1 อัตรา 1 ช้อนชาต่อต้น สัปดาห์ละ 1 ครั้ง 


การเด็ดยอด
เมื่อต้นสูง 10-15 เซนติเมตร เด็ดยอดให้เหลือใบจริง 5-6 ใบ


การปลูก
ระยะปลูก ใช้ระยะปลูก 40 x 40 เซนติเมตร


การเตรียมดิน
ไถดินลึก 50 เซนติเมตร เพื่อการระบายน้ำที่ดี ปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ของดินเท่ากับ 6.2-6.8 ยกแปลงกว้าง 1.2 เมตร สูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร ทางเดิน 80 เซนติเมตร ผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเก่า อัตรา 3 ตันต่อไร่ คลุกเคล้าให้เข้ากันที่ระดับ 20 เซนติเมตร หากดินเหนียวมากอาจใช้แกลบดินเป็นส่วนใหญ่ ผสมเพื่อให้ดินโปร่งขึ้น

การเตรียมกล้า
บานชื่นสามารถขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เนื่องจากบานชื่นเป็นไม้ที่ปลูกเลี้ยงง่าย จึงนิยมขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดทำให้ ได้ต้นจำนวนมาก


การเพาะเมล็ด
บานชื่นมีเมล็ดขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับไม้ดอกอื่นๆ ดังนั้นการปลูกบานชื่นจึงไม่จำเป็นต้องทำการเพาะเมล็ดในกระบะ การเตรียมแปลงปลูกควรเตรียมหลุมตื้นๆ หรือทำร่องตื้นๆ ตามความยาวของแปลง วางเมล็ดหลุมละ 2-3 เมล็ด รดน้ำ กลบปากหลุมด้วยฟางข้าว หรือขุยมะพร้าว และรดน้ำตามอีกครั้งเพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นในหลุม เมื่อเมล็ดงอกแล้ว (ประมาณ 3-5 วัน) ควรทำการถอนหรือแยกให้เหลือ 1 ต้นต่อ 1 หลุม

การดูแลรักษา
การให้น้ำ
รดน้ำทุกวัน ควรรดในตอนเช้าหรือเย็น หากรดน้ำในเวลาเย็นควรจะให้น้ำที่ค้างอยู่บนใบแห้งก่อนพระอาทิตย์ตกดิน และเมื่อมีดอกบานอย่ารดน้ำให้ถูกดอกเพราะจะทำให้ดอกช้ำหรือเน่าได้ 


การให้ปุ๋ย
ก่อนปลูกควรคลุกเคล้าปุ๋ยรองพื้นในดิน โดยให้ปุ๋ยทริปเปิลซุปเปอร์ฟอสเฟต (0-46-0) อัตรา 1 ช้อนชา/หลุม (1 ช้อนชา = 5 กรัม) และสูตร 15-15-15 อัตรา 1 ช้อนชาต่อหลุม ในช่วงแรกหลังปลูกให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 1 ช้อนชาต่อต้นสัปดาห์ ละ 1 ครั้งระยะให้ดอกให้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ผสมปุ๋ยสูตร 0-0-60 สัดส่วน 3:1 อัตรา 1 ช้อนชาต่อต้น สัปดาห์ละ 1 ครั้ง 


การเด็ดยอด
เมื่อต้นสูง 10-15 เซนติเมตร เด็ดยอดให้เหลือใบจริง 5-6 ใบ







ที่มา : http://www.trgreen.co.th/

ความหมายของดอกบานชื่น

ความหมายของดอกบานชื่น โดยรวมๆ หมายความถึง คิดถึงเพื่อน (Thoughs of friends)
บานชื่นสีขาว หมายถึง ความดี (Goodness)
บานชื่นสีเหลือง หมายถึง คิดถึงทุกๆวัน (Daily Remmembrance)
บานชื่นสีแดงเพลิง หมายถึง ความจงรักภักดี (Constancy)
บานชื่นสีชมพูอมม่วง หมายถึง ความรักครั้งสุดท้าย( Lasting Affection)
ที่ประเทศญี่ปุ่น ดอกบานชื่น หมายถึง เชื้อพระวงศ์ (Royalty)
คนญี่ปุ่นเรียกดอกบานชื่นว่า Hyakunichison





ที่มา : http://www.the-than.com/FLower/A1/4.html และ
http://writer.dek-d.com/iamtaity/writer/viewlongc.php?id=385792&chapter=99

ประเภทของดอกบานชื่น (ตามความสูง)

ถ้าจัดบานชื่นตามความสูงของต้นจะได้ 3 กลุ่มดังนี้

1. พวกต้นเตี้ย (dwarf) คือพวกที่สูง 6 – 12 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ Dreamland ขนาดดอก 3.5 นิ้ว
Ice Cream ขนาดดอก 3.5 – 4 นิ้ว
Peter Pan (AAS 1971) ขนาดดอก 3 – 3.5 นิ้ว
Dasher ขนาดดอก 3 นิ้ว
Thumbelina (AAS 1963) ขนาดดอก 1.5 – 2 นิ้ว
พันธุ์ทั้งหมดที่กล่าวมานี้มีสีคละ

2. พวกกึ่งเตี้ย (semi dwarfได้แก่พวกต้นสูง 12 – 14 นิ้ว มักมีดอกเล็กทำเป็นไม้ปลูกในภาชนะหรือในกระถางได้ดี ได้แก่
พันธุ์ Pulcino ขนาดดอก 2 – 3 นิ้ว มีสีคละ
Small World ขนาดดอก 2.5 นิ้ว พันธุ์นี้สีเชอรี่พิงค์ได้ AAS
Fantastic Pink ขนาดดอก 4.5 นิ้ว สีชมพูอ่อน ดอกซ้อนแน่น ต้นสูง 14 นิ้ว

3. พวกต้นสูง (tall) ได้แก่พวกต้นสูง 16 นิ้วขึ้นไป มีดอกขนาดใหญ่ ทำเป็นไม้ตัดดอกได้ด้วย ได้แก่
พันธุ์ Cut ’n Come Again ขนาดดอก 2.5 – 3 นิ้ว
State Fair ขนาดดอก 5.5 นิ้ว เป็นเตตราพลอยด์
Gold Sun สีทอง และ Red Sun สีแดง ขนาดดอก 4 นิ้ว ได้ AAS ทั้งคู่ สีดอกสดสวยสะดุดตามาก

Yellow Marvel (AAS 1985) ดอกดกมาก ขนาด 2.5 นิ้ว ใช้ทำเป็นไม้ตัดดอกได้ด้วย เป็นเมล็ดพันธุ์ผสมเปิด แต่ให้ดอกดีพอๆ กับลูกผสมชั่วที่ 1 และเมล็ดราคาถูก ชุด Marvel นี้ มีอีกหลายสี ปลูกประดับแปลงก็สวย ทำไม้ตัดดอกก็ดีมาก
นอกจากนี้ มีพันธุ์ Envy ดอกสีเขียว ขนาดดอก 4 นิ้ว, Fruit Bowl สีคละ, Firecracker, Zenith ขนาดดอก 5 นิ้ว, Big Red, Big Top, Torch เป็นต้น

นอกจากจัดตามความสูงของต้นแล้ว ดอกของบานชื่นยังมีหลายแบบ ทำให้จัดบานชื่นตามลักษณะ ดอกได้ดังนี้

1. Dahlia flowered คือ พวกที่มีกลีบดอกแบนกว้าง ดอกค่อนข้างแบน ขนาดดอก ประมาณ 5 นิ้ว ต้นสูงประมาณ 2.5 ฟุต John Bodger เป็นผู้ริเริ่มและเสนอพันธุ์นี้ออกสู่ตลาดตั้งแต่ ปี 1919 และส่งเสริมให้บานชื่นติดอันดับหนึ่งในสิบของไม้ดอกยอดนิยมของอเมริกาใน 5 ปีต่อจากนั้น พันธุ์ที่มีรูปดอกแบบนี้ในปัจจุบันได้ชุด Sun เช่น Red Sun (AAS 1978) Gold Sun (AAS 1979) Yellow Marvel (AAS 1985) Pumila, Pulcino, Fantastic Pink, Envy และ Dreamland เป็นต้น พวกนี้นิยมใช้เป็นไม้ตัดดอกด้วย

2. Giant Cactus flowered คือพวกที่มีริมกลีบม้วนลงเล็กน้อยตามความยาวกลีบ ปลายกลีบเรียว
มากน้อยแล้วแต่พันธุ์ ดอกมีขนาดใหญ่มากประมาณ 6 นิ้วหรือกว่านั้น ต้นสูงประมาณ 2 ฟุต Luther Burbank เป็นผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์เป็นคนแรกในปี 1920 กลุ่มนี้มีความทนทานต่อโรครานํ้าค้างและแข็งแรงดี ได้แก่พันธุ์ Fruit Bowl, Big Top, Firecracker (AAS 1963), Zenith และ Torch เป็นต้น
พวกนี้นิยมใช้เป็นไม้ตัดดอกเช่นเสียวกัน

3. Round Flowered คือพวกที่กลีบดอกแบนซ้อนกันแน่นจนดูดอกกลม ดอกค่อนข้างเล็กและพุ่มต้นค่อนข้างเตี้ย ได้แก่พันธุ์ Button Box, Small World, Dasher, Lilliput, และ Ruffles

4. Tetraploid Flowered คือพวกที่ดอกใหญ่ขนาด 5 – 7 นิ้ว ต้นสูงกว่า 2 ฟุต มียีนส์ เป็นเตตราพลอยด์ รูปดอกแบบ Dahlia ได้แก่พันธุ์ State Fair, Burpee’s Big Tetra และ Ruffled Jumbo
ดอกของบานชื่นที่ตัดมาแล้ว เมื่อนำมาแช่ในสารละลาย 8 HQC 200 มิลลิกรัม/ลิตร และเติมน้ำตาลซูโครส 1 จะสามารถบานในแจกันได้ถึง 2 อาทิตย์
พันธุ์ใหม่ที่ได้ AAS 1990 คือ Scarlet Splendor เจ้าของพันธุ์คือ Denis Flaschenreim ของบริษัทเบอร์พี ดอกใหญ่ 4 – 5 นิ้ว สีแดงสด ต้นสูง 2 ฟุต มีความแข็งแรงทนทานต่อสภาพอากาศ ได้ดีและทำเป็นไม้ตัดดอกได้ดีด้วย
บานชื่นมักมีโรครานํ้าค้าง (mildew) รบกวนในสภาพอากาศชื้น บริษิทเบอร์พีมีพันธุ์ Rose Pinwheel สีชมพู ดอกชั้นเดียว เกสรสีเหลืองสด ขนาดดอก 2.5 – 3 นิ้ว กลีบดอกบิดเล็กน้อย เมื่อดอกแก่จะเปลี่ยนสีเป็นสีเข้มขึ้น ต้นสูง 18 นิ้ว เป็นพันธุ์ที่ต้านทานโรคนี้ และจะเป็นที่มาของยีนส์ที่ต้านทานโรคนี้ต่อไป พันธุ์นี้ได้มาจากการผสม Zinnia elegans กับ Zinnia angustifolia
เมล็ดของบานชื่นมีขนาดใหญ่ เพาะง่าย ดินที่ปลูกควรระบายน้ำดี ที่ปลูกต้องมีแดดเต็มที่ มีการระบายอากาศดีด้วย การให้น้ำไม่ควรให้ถูกใบเพราะจะทำให้เกิดโรคและก้านดอกหักง่ายด้วย บานชื่นมีระบบรากค่อนข้างตื้น ควรเด็ดยอดให้แตกพุ่มจะช่วยยึดลำต้นได้ดี

นอกจากบานชื่นที่กล่าวมาแล้ว ยังมีพันธุ์ดั้งเดิม ดอกเล็ก มีกลีบชั้นเดียวหรือซ้อนน้อย ต้นเป็นพุ่มกว้างคือ Zinnia linearis หรือ Zinnia angustifolia ต้นสูง 8 – 10 นิ้ว ใบเรียวยาว ดอกขนาด 1.5 นิ้ว สีขาว สีเหลือง และสีส้ม เป็นพันธุ์ที่มีความต้านทานโรคสูง เช่นพันธุ์ Classic ที่เราเรียกกันว่า กระดุมเงิน กระดุมทอง
Zinnia Haageana เป็นบานชื่นจากเม็กซิโก ต้นสูง 14 นิ้ว ดอกสีนํ้าตาลอมแดง ปลายกลีบสีเหลืองสด ดอกซ้อนขนาด 2 – 3 นิ้ว เช่นพันธุ์ Old Mexico (AAS 1962)
    

    ผู้ที่สนใจปลูกไม้ดอกแต่ยังไม่เคยลองปลูกเลยขอแนะนำให้ปลูกบานชื่นก่อนเพราะมีดอกสวย การปลูกและดูแลรักษาไม่ยาก ต้นให้ดอกเร็วทำให้มีกำสังใจให้ลองปลูกไม้ดอกชนิดอื่นต่อไป







ที่มา : http://www.thaikasetsart.com/

ประโยชน์ของบานชื่น

ประโยชน์ของบานชื่น


                ประโยชน์หลักของบานชื่น ก็คือ ใช้เป็นไม้ดอกไม้ประดับ เนื่องจากมีดอกที่เด่นสะดุดตา มีสีสันหลากหลาย รูปทรงต่างๆ ให้เลือกมากมาย นอกจากนี้ ทรงต้นยังต่างกันตั้งแต่ขนาดปกติ (สูงราว ๖๐ เซนติเมตร) จนถึงขนาดเล็ก (สูงไม่ถึง ๓๐ เซนติเมตร) จึงนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ประเภทดอกโต ก้านดอกยาว เหมาะสำหรับตัดดอกรวมเป็นช่อดอกไม้ หรือปักแจกัน ต้นขนาดเล็ก ซึ่งแตกกิ่งก้านค่อนข้างมาก มีดอกเล็กแต่ดก เหมาะสำหรับปลูกในกระถาง เมื่อออกดอกเต็มต้น ทั้งกระถางก็จะกลายเป็นช่อดอกไม้ หรือแจกันดอกไม้ที่งดงาม และมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าช่อดอกไม้หรือแจกันดอกไม้ธรรมดา

ปัจจุบันมีผู้นิยมมอบดอกไม้พร้อมต้นเป็นของขวัญในโอกาสต่างๆ มากขึ้น ทั้งกล้วยไม้ กุหลาบ เบญจมาศ ดอกไม้ต่างประเทศ เป็นต้น บานชื่นหลายสายพันธุ์ก็เหมาะมอบให้ทั้งกระถางเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในวันแห่งความรักที่กำลังมาถึง ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการให้ดอกไม้พร้อมต้นและกระถาง ก็คือ ผู้รับจะเอาใจใส่ มากกว่าการรับช่อดอกไม้ หรือแจกันดอกไม้ เนื่องจากต้องหาที่วางกระถางให้เหมาะสม ต้องคอยรดน้ำดูแล ทำให้เกิดความเอาใจใส่ ผูกพันมากกว่า ซึ่งเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของความรักที่ดี








ที่มา : http://www.doctor.or.th/

บานชื่น : แด่ความสดชื่น เบิกบาน ในเดือนแห่งความรัก

   เดือนกุมภาพันธ์เวียนกลับมาอีกครั้งหนึ่งตามวัฏจักรของกาลเวลา สำหรับคนไทยรุ่นใหม่ในยุคโลกาภิวัตน์นี้ เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนพิเศษยิ่งเดือนหนึ่ง ในรอบปีที่พิเศษมิใช่เพราะเป็นเดือนเดียวที่มีจำนวนวันน้อยที่สุดในรอบปี คือ ไม่ถึง ๓๐ วัน และยิ่งกว่านั้นจำนวนวัน ยังไม่แน่นอนตายตัวอีกด้วย เนื่องจากทุกๆ ๔ ปี จะเปลี่ยนจาก ๒๘ วัน เป็น ๒๙ วัน (ดังเช่นในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ นี้) จนทำให้เกิดคนพิเศษจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีโอกาสฉลองครบรอบวันเกิดได้เพียงครั้งเดียวในรอบ ๔ ปี นั่นคือคนที่เกิดในวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์นั่นเอง แต่สำหรับคนไทยรุ่นใหม่แล้ว ความพิเศษของเดือนกุมภาพันธ์ไม่ได้อยู่ที่จำนวนวัน แต่อยู่ที่วันแห่งความรัก คือ วันนักบุญ วาเลนไทน์ ซึ่งคนรุ่นใหม่ทั่วโลกจำนวนมาก ถือว่าเป็นวันแห่งความรักกันอย่างจริงจัง มีการมอบของขวัญต่างๆ (เช่น ดอกไม้ ช็อกโกแลต เป็นต้น) บัตรอวยพร หรือข้อความผ่านเครื่องมือสมัยใหม่ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือกันอย่างแพร่หลาย จนกระทั่งเกิดปรากฏการณ์พิเศษ เช่น ดอกไม้ (โดยเฉพาะกุหลาบสีแดง) ขาดตลาดหรือมีราคาแพงขึ้นหลายเท่า โทรศัพท์มือถือใช้ติดต่อสื่อสารไม่ได้ หรือได้ไม่สะดวก ตลอดวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์

    คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้าที่กำลังนำเสนอเรื่องราวของดอกไม้ในเมืองไทยชนิดต่างๆ จึงขอถือโอกาสเชื่อมโยงดอกไม้ ที่จะกล่าวถึงในเดือนกุมภาพันธ์นี้เข้ากับเทศกาลวันแห่งความรักของคนรุ่นใหม่ด้วย โดยจะนำเอาดอกไม้ที่มีคุณสมบัติและคำเรียกชื่อสอดคล้องกัน คุณลักษณะของความรักที่พึงปรารถนา ซึ่งผู้เขียนเลือกดอกไม้ธรรมดาสามัญที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จักดีมานำเสนอ นั่นคือ บานชื่น

บานชื่น : ขอบฟ้ามิอาจขวางกั้น
บานชื่นเป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็ก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zinnia eleyans Jacy อยู่ในวงศ์ Compositae เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ สูงประมาณ ๖๐ เซนติเมตร ลำต้นมีช่อง กลวงภายใน ผิวลำต้นสีเขียวมีขนอ่อนปกคลุม แตกกิ่งก้านสาขาน้อย ใบเดี่ยวขนาดใหญ่ รูปใบหอก โคนใหญ่มนปลายแหลม สีเขียวมีขนอ่อนปกคลุม ก้านใบสั้น มากจนอาจเรียกได้ว่าไม่มีก้านใบ ใบออก ตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ จากลำต้น หรือกิ่งก้าน ดอกเป็นดอกเดี่ยวออกตรงปลายยอด หรือปลายกิ่งก้าน ดอกขนาดใหญ่มีกลีบกระจายออกจากศูนย์กลางเป็นวงกลม มีทั้งกลีบชั้นเดียวและหลายชั้น กลีบดอกมีสีต่างกันมากมาย เช่น ขาว ครีม เหลือง ส้ม ม่วง แดง เป็นต้น และหลายสีในดอกเดียวกัน ตรงกลางดอกเป็นกระจุกเกสรตัวผู้และตัวเมีย เห็นเป็นกลุ่มสีเหลืองอยู่ตรงกลางดอก เมื่อกลีบดอกโรยจะเหลือกลุ่มเมล็ดสีน้ำตาลดำอยู่บนก้านดอก รูปทรงคล้ายเมล็ดทานตะวันแต่แบนกว่า แต่ละดอกอาจติด เมล็ดได้หลายสิบเมล็ด แต่บางส่วนก็เป็นเมล็ดลีบนำไปเพาะขยายพันธุ์ไม่ได้

บานชื่นเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ บริเวณตอนใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา และบริเวณประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน จากนั้นจึงแพร่กระจาย ไปปลูกทั่วโลก เป็นดอกไม้ที่ชาวโลกรู้จักดีชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะในเขตร้อน และกึ่งร้อนที่เหมาะสำหรับปลูกบานชื่น บานชื่นเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ เมื่อใดไม่มีปรากฏเป็นหลักฐาน แต่คงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง เพราะไม่พบในวรรณคดีสมัยอยุธยา และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตลอดจนไม่พบในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอปรัดเล พ.ศ. ๒๔๑๖ สันนิษฐานว่าในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ บานชื่นยังไม่มาถึงประเทศไทย หรือยังไม่เป็นที่รู้จักทั่วไป บานชื่นจึงคงมาปลูกในประเทศไทยไม่เกิน ๑๐๐ ปี แต่กลายเป็นดอกไม้สามัญที่คนไทยทั่วไปรู้จักกันดี และนิยมปลูกกันมากไม่แพ้ดอกไม้ยอดนิยมชนิดอื่นๆ เพราะปลูกง่าย โตเร็ว แข็งแรง ทนทาน มีมากมายหลายสี ขยายพันธุ์ได้ง่ายด้วยเมล็ด นอกจากนี้ ยังมีชื่อที่เป็นคำไทยแท้มีความหมายเป็นมงคล ทั้งคำว่า บาน ที่หมายรวมถึง เบิกบาน ผลิบาน แย้มบาน รวมถึงความสุข เช่น หน้าบาน เป็นต้น ส่วนคำว่า ชื่น หมายถึง ความสดชื่น ชื่นชม ชื่นใจ ชุ่มชื่น ชื่นเย็น เป็นต้น ล้วนแต่เป็นลักษณะที่พึงปรารถนาทั้งสิ้น








ที่มา : http://www.doctor.or.th/



รูปภาพดอกบานชื่น







ที่มารูปภาพ : http://www.the-than.com/ 

ดอกบานชื่น

ชื่




ชื่อวิทยาศาสตร์     Zinnia elegans Jacq.
วงศ์                    COMPOSITAE
ชื่อสามัญ             Zinnia
ถิ่นกำเนิด            เม็กซิโก
ลักษณะทั่วไป
    ไม้ดอกอายุหลายปีพุ่มสูง 0.45-1 เมตร   ลำต้นตรงสีเขียวอมเหลืองหรือม่วงมีขนสีขาวเส้นยาวอ่อนนุ่มแนบผิวลำต้น ใบรูปใบหอกหรือไข่แกมขอบหนามปลายแหลม โคนมน ผิวใบมีขนหยาบ   ก้านใบสั้น   ดอกออกเป็นช่อกระจุก มีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน ขนาด 4-10   เซรติเมตร   กลีบดอกวงนอกรูปขอบหนาม สีขาวนวล เหลือง ชมพู ส้ม ม่วง แดง และสองสีในดอกเดียวกันกลีบดอกวงในรูปหลอด สีเหลือง   ดอกมีรูปทรงและการเรียงกลีบดอกหลายแบบ เมล็ดขนาดใหญ่ 100-200 เมล็ด
ขยายพันธุ์  
     เพาะเมล็ด โดยกลบเมล็ดบาง ๆ เมล็ดงอกภายใน 10-20   วันเวลาเพาะ-ออกดอก 60-90 วัน
การดูแลรักษา
     บานชื่นเป็นไม้ที่ต้องการแสงแดดจัด  ต้องปลูกกลางแจ้งให้ได้รับแสงแดดโดยตรงอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง  สามารถเจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด  แต่ถ้าได้มีการเตรียมดินให้ดีมีธาตุอาหารครบครัน  มีการระบายน้ำดี  กักเก็บความชื้นไว้พอควร ก็จะได้บานชื่นที่มีพุ่มต้นสวยสมบูรณ์  ดอกดก  คุณภาพดอกดี  ควรรดน้ำประจำทุกเช้า
ประวัติทั่วไป
     บานชื่น  นิยมปลูกเป็นไม้ประดับบ้านเรือน  และปลูกเป็นกระถาง  เนื่องจากบานชื่นเป็นไม้ดอกที่ปลูกง่ายเลี้ยงง่าย  ไม่ต้องพิถีพิถันในการดูแลรักษา  มากมายแต่ให้ดอกสีสวยงาม  สีสันสดชื่น  เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมโดยไม่ต้องลงทุนมาก
สภาวะที่เหมาะสมสำหรับการปลูก

     แสงแดดจัด ดินปลูกระบายน้ำดี ประโยชน์ ไม้ตัดดอก ไม้กระถาง ไม้ประดับแปลง

ที่มา : http://www.the-than.com/ 


ประวัติส่วนตัว

ประวัติส่วนตัว

ชื่อ : น.ส.ชนากานต์ กล่อมแดง
ชื่อเล่น : กานต์
วันเกิด : 12 มีนาคม พ.ศ.2542
อายุ : 15 ปี
กำลังศึกษาอยู่ที่ : โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปีที่ 4/3
งานอดิเรก : วาดรูป ฟังเพลง
คติประจำใจ : ความรู้คือสิ่งสำคัญ จินตนาการคือทุกสิ่ง



วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

DIY รองเท้าผ้าใบแนวๆ

แต่งเติมผ้าใบสีขาวๆ ให้ดูมีสีสันเริ่ดๆๆๆๆ ^^


สิ่งที่ต้องเตรียม
1. รองเท้าผ้าใบสีขาว (ราคาไม่แพง)
2. สีย้อมผ้า
3. วาสลีนหรือปิโตรเลียมเจลลี่
4. แปรงสีฟันเก่า
5. เบกกิ้งโซดา
เข้าขั้นตอนการทำกันเลย!!
1. เตรียมรองเท้าผ้าใบโดยการถอดเชื่อกผูกรองเท้าออก ทาวาสลีนบางๆ ส่วนที่เป็นขอบยางรอบรองเท้า เพื่อไม่ให้สีติดบริเวณนั้น
2. ทำการผสมสี(ที่ชอบ) กับน้ำร้อนและเกลือในปริมาณพอเหมาะ หรือที่ฉลากข้างขวดสีบอก ทำให้รองเท้าผ้าใบเปียกก่อน เพื่อให้สีติดง่าย
3. จุ่มหัวรองเท้าลงไปในสีย้อม (แค่ 1 ใน 3 ของรองเท้า) หรือแล้วแต่ความชอบว่าจะให้สีติดแค่ไหน ให้ดูความเข้มอ่อนของสีว่าได้อย่างที่ต้องการแล้วหรือไม่
4. ทำขั้นตอนก่อนหน้าซ้ำหากต้องการให้ปลายรองเท้าได้สีที่เข้มกว่าบริเวณที่จุ่มไปก่อนหน้า
5. นำผ้าชุบน้ำบิดหมาด เกลี่ยสีให้ดูสมูท
6. ได้สีที่ต้องการเสร็จสรรพก็พักรองเท้าไว้ประมาณ 5 นาที และตากทิ้งไว้อีก 1 คืน
7. เมื่อรองเท้าแห้งให้นำเบกกิ้งโซดามาโรยบริเวณที่ทาวาสลีนให้ทั่ว ทิ้งไว้ 1 นาที นำแปรงสีฟันมาขัดๆ วาสลีนที่มาไว้จะหลุดออกมาและเอาผ้าขนหนูมาเช็ดออก ขัดจนกว่าวาสลีนจะออกหมด เป็นอันเสร็จเรียบร้อย